การสร้างข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์พื้นผิว (Surface
analysis)
การวิเคราะห์พื้นผิว (Surface analysis) เป็นการวิเคราะห์การกระจาย
ของค่าตัวแปรหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนเป็นมิติที่ 3
ของข้อมูลเชิงพื้นที่โดยข้อมูลเชิงพื้นที่มีค่าพิกัดตามแนวแกน X และ Y ส่วนตัวแปรที่น ามา วิเคราะห์เป็นค่า Z ที่มีการกระจายตัวครอบคลุมทั้งพื้นที่
ตัวอย่างของค่า Z ได้แก่ ข้อมูลความสูงของพื้นที่ ความเข้มข้นของ สารเคมี ปริมาณน้ าฝน และอุณหภูมิ เป็นต้น
ผลจากการวิเคราะห์พื้นผิวสามารถแสดงเป็นภาพ 3 มิติให้เห็นถึงความ แปรผันของข้อมูลด้วยลักษณะสูงต่ำของพื้นผิวนั้นการแสดงข้อมูลพื้นผิวสามารถใช้โครงสร้างข้อมูลแบบเวคเตอร์โดยการใช้
Triangulated Irregular Network (TINs) หรือ
โครงสร้างแบบแรสเตอร์โดยการใช้
Digital Elevation Model (DEM)
1. การสร้าง Contour line
Contour line หรือ เส้นชั้นความสูง
หมายถึง เส้นจิตนาการของระดับที่คงที่บนพื้นดิน
ซึ่งได้จากการลากเส้นคงที่ผ่านจุดต่าง ๆ บนพื้นดินที่มีค่าระดับเท่ากัน
หรือในบางครั้งอาจเป็นค่าอื่น ๆ ก็ได้ เช่น ปริมาณน้ำฝน หรือระดับความ ลึกของน้ำ
เป็นต้น
เปิดข้อมูลที่ผ่านการทำ IDW ขึ้นมา
เปิดเครื่องมือ 3D
Analysis ขึ้นมา
จากนั้นเลือกคำสั่ง Create Contour
สร้างเส้น Contour โดยลากเม้าส์
คุมไปที่ตำแหน่งที่ต้องการ
หากต้องการที่จะลบ
ให้ใช้เม้าส์คลิกที่เส้นชั้นความสูง แล้วกด delete
การสร้าง Contour line ควบคุมทั้งหมดในแผนที่ไปที่
Arc Toolbox >> Raster surface >> Contour
นำเข้าข้อมูลที่จะนำมาสร้างเส้น Contour
การเปลี่ยนสีเส้น Contour เพื่อความแตกต่างของเส้น ตามความสูง
ผลลัพธ์ที่ได้จะการสร้าง Contour Line
2. การสร้างแนวการมองเห็น (Line of
sight)
แนวการมองเห็น ใช้สำหรับวิเคราะห์การมองเห็นว่าพื้นที่ใดสามารถ มองเห็นได้บนพื้นผิวจากตำแหน่งต่าง ๆ
ใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินพื้นที่เพื่อวางแผนตั้ง กองกำลังทหาร การสร้างหอคอย และการสร้างหอสื่อสาร เป็นต้น
สีของเส้นจะบอกตำแหน่งพื้นผิวที่สามารถมองเห็นได้ (สีเขียว) และ ไม่สามารถมองเห็น (สีแดง)เส้นสีแดง และเส้นสีเขียวแทน
เส้นสีแดง (Obstructed area) บริเวณที่ถูกกีดขวางจากจุดสังเกต
เส้นสีเขียว (Visible area) บริเวณที่สามารถมองเห็นจากสุดสังเกต
จุดสีดำ สีน้ำเงิน และสีแดงแทน
จุดสีดำ (Observer location) ตำแหน่งจุดสังเกต
จุดสีน้ำเงิน (Obstruction point) ตำแหน่งที่ถูกกีดขวางจากตำแหน่งจุดสังเกตไปยังตำแหน่งเป้าหมาย
จุดสีแดง (Target location) ตำแหน่งเป้าหมาย
ไปที่เครื่องมือ 3D Analysis เลือก Create Line of Sight
แนวการมองเห็น ใช้สำหรับวิเคราะห์การมองเห็นว่าพื้นที่ใดสามารถ มองเห็นได้บนพื้นผิวจากตำแหน่งต่าง ๆ
ใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินพื้นที่เพื่อวางแผนตั้ง กองกำลังทหาร การสร้างหอคอย และการสร้างหอสื่อสาร เป็นต้น
สีของเส้นจะบอกตำแหน่งพื้นผิวที่สามารถมองเห็นได้ (สีเขียว) และ ไม่สามารถมองเห็น (สีแดง)เส้นสีแดง และเส้นสีเขียวแทน
เส้นสีแดง (Obstructed area) บริเวณที่ถูกกีดขวางจากจุดสังเกต
เส้นสีเขียว (Visible area) บริเวณที่สามารถมองเห็นจากสุดสังเกต
จุดสีดำ สีน้ำเงิน และสีแดงแทน
จุดสีดำ (Observer location) ตำแหน่งจุดสังเกต
จุดสีน้ำเงิน (Obstruction point) ตำแหน่งที่ถูกกีดขวางจากตำแหน่งจุดสังเกตไปยังตำแหน่งเป้าหมาย
จุดสีแดง (Target location) ตำแหน่งเป้าหมาย
ไปที่เครื่องมือ 3D Analysis เลือก Create Line of Sight
จากนั้นทำการลากเส้นลงในตัวแผนที่
- ถ้าบริเวณที่เป็นเส้นสีแดง แสดงว่า
เราจะไม่สามารถมองเห็นได้จากจุดสังเกตการณ์
- แต่ถ้าบริเวณนั้นเป็นเส้นสีเขียว แสดงว่า
เราจะสามารถมองเห็นได้จากจุดสังเกตการณ์
3. ทิศทางการไหล (Steepest path)
เป็นการประเมินรูปแบบการกลิ้ง (Runoff patterns) ของวัตถุจากแบบจำลองพื้นผิว
โดยจะดูทิศทางการไหลของวัตถุที่ถูกปล่อยจากจุดที่กำหนดไปตาม ลักษณะของพื้นที่ โดยจะมีเส้นทางการไหลไปจนถึงบริเวณที่มีความลาดชันมากที่สุด
ไปที่เครื่องมือ 3D Analysis เลือก Create Steepest path
เป็นการประเมินรูปแบบการกลิ้ง (Runoff patterns) ของวัตถุจากแบบจำลองพื้นผิว
โดยจะดูทิศทางการไหลของวัตถุที่ถูกปล่อยจากจุดที่กำหนดไปตาม ลักษณะของพื้นที่ โดยจะมีเส้นทางการไหลไปจนถึงบริเวณที่มีความลาดชันมากที่สุด
ไปที่เครื่องมือ 3D Analysis เลือก Create Steepest path
คลิกหนึ่งคลิกที่พื้นที่เราต้องการปล่อยทิศทางการไหลของวัตถุ
จะสังเกตได้ว่าวัตถุจะไหลลงจากที่สูงลงไปหาที่ต่ำ
4. ภาพตัดขวาง (Profile)
ภาพตัดขวาง เป็นการแสดงระดับความสูงของพื้นผิวตามแนวเส้นที่กำหนด
ภาพตัดขวางสามารถช่วยในการประเมินความยากง่ายของเส้นทาง หรือ ประเมินความเป็นไปได้ในการสร้างถนน หรือทางรถไฟในบริเวณที่กำหนด เป็นต้น ไปที่เครื่องมือ 3D Analysis เลือก Interpolate Line
ภาพตัดขวาง เป็นการแสดงระดับความสูงของพื้นผิวตามแนวเส้นที่กำหนด
ภาพตัดขวางสามารถช่วยในการประเมินความยากง่ายของเส้นทาง หรือ ประเมินความเป็นไปได้ในการสร้างถนน หรือทางรถไฟในบริเวณที่กำหนด เป็นต้น ไปที่เครื่องมือ 3D Analysis เลือก Interpolate Line
ลากเส้นลงในแผนที่ตามที่ต้องการ
จากนั้นไปที่เครื่องมือ 3D
Analysis เลือก Create
Profile Graph
เราจะได้กราฟที่แสดงความสูงต่ำของพื้นที่ ที่เราได้ลากเส้นเอาไว้
ลากเส้นเพิ่มขึ้นมากอีกหนึ่งเส้น
เพื่อดูความแตกต่างระหว่างความสูงต่ำของพื้นที่ทั้งสอง
กราฟแสดงการเปรียบเทียบความสูงต่ำของพื้นที่ทั้งสอง
5. ความลาดชัน (Slope)
ความลาดชัน เป็นการคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงค่าความสูงจากเซลล์ หนึ่งไปยังเซลล์ใกล้เคียง
ความลาดชัน เป็นการคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงค่าความสูงจากเซลล์ หนึ่งไปยังเซลล์ใกล้เคียง
ความลาดชันสามารถคำนวณและวัดได้ 2 ประเภท
ได้แก่
- เปอร์เซ็นต์ (Percent rise)
- องศา (Degree)
ความลาดชันเป็นเปอร์เซ็นต์ (Percent rise) คำนวณได้จากด้านตรงข้ามมุม (rise) หารด้วยด้านประชิดมุม (run) และคูณด้วย 100 ดังสมการ
Slope (percent rise) = (rise/run)*100
ความลาดชันเป็นองศาคำนวณ ได้จาก
- เปอร์เซ็นต์ (Percent rise)
- องศา (Degree)
ความลาดชันเป็นเปอร์เซ็นต์ (Percent rise) คำนวณได้จากด้านตรงข้ามมุม (rise) หารด้วยด้านประชิดมุม (run) และคูณด้วย 100 ดังสมการ
Slope (percent rise) = (rise/run)*100
ความลาดชันเป็นองศาคำนวณ ได้จาก
Slope (degree) =θ tanθ= rise/run
ทำการเลือกข้อมูลที่จะใช้สร้าง Slope โดยคำนวณความลาดชันเป็นหน่วยขององศา
(Degree)
ผลลัพธ์ที่ได้
ทำการเลือกข้อมูลที่จะใช้สร้าง Slope โดยคำนวณความลาดชันเป็นหน่วยของ
เปอร์เซ็นต์ (Percent rise)
ผลลัพธ์ที่ได้
6. ทิศทางการหันเหของความลาดชัน (Aspect)
Aspect เป็นการกำหนดความลาดชันที่จะรับแสง
Aspect จะวัดตามเข็มนาฬิกาจาก 0-360 องศา ค่าของทุกเซลล์จะบ่งบอกทิศทางการหันเหของ ความลาดชัน
โดยพื้นที่ที่เป็น Flat slope จะไม่มีทิศทาง และมีค่าเป็น -1 เสมอ
Aspect สามารถนำไปประยุกต์กับการสร้างแบบจำลองต่าง ๆ ได้ หลากหลาย เช่น
Aspect จะวัดตามเข็มนาฬิกาจาก 0-360 องศา ค่าของทุกเซลล์จะบ่งบอกทิศทางการหันเหของ ความลาดชัน
โดยพื้นที่ที่เป็น Flat slope จะไม่มีทิศทาง และมีค่าเป็น -1 เสมอ
Aspect สามารถนำไปประยุกต์กับการสร้างแบบจำลองต่าง ๆ ได้ หลากหลาย เช่น
- แบบจำลองการเจริญเติบโตของพืช
- การประมาณการละลายของหิมะ
- การกำหนดพื้นที่เพื่อติดตั้งเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์
ไปที่ Arc Toolbox >> Raster
surface >> Aspect
ทำการเลือกข้อมูลที่จะนำมาทำ Aspect
จากนั้นกด ok
ผลลัพธ์ที่ได้จะการสร้าง Aspect
ค่าพิกเซลล์แต่ล่ะจุด จะมีค่าที่ต่างกัน
7. การตกกระทบของแสง (Hillshade)
เป็นรูปแบบความสว่างและความมืดที่พื้นผิวจะได้รับเมื่อให้แสงสว่างจากมุมที่กำหนดในการคำนวณการตกกระทบของแสงต้องกำหนดตำแหน่งแหล่งกำเนิด แสงก่อน และจากนั้นจึงคำนวณค่าของแสงในแต่ละเซลล์
ค่าของแสงที่ตกกระทบจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-255 ซึ่งแทนด้วยระดับสีเทา จากสีดำจนถึงสีขาวตามลำดับ
เป็นรูปแบบความสว่างและความมืดที่พื้นผิวจะได้รับเมื่อให้แสงสว่างจากมุมที่กำหนดในการคำนวณการตกกระทบของแสงต้องกำหนดตำแหน่งแหล่งกำเนิด แสงก่อน และจากนั้นจึงคำนวณค่าของแสงในแต่ละเซลล์
ค่าของแสงที่ตกกระทบจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-255 ซึ่งแทนด้วยระดับสีเทา จากสีดำจนถึงสีขาวตามลำดับ
ไปที่ Arc Toolbox >>
Raster surface >> Hillshade
เลือกข้อมูลที่จะนำมาทำ Hillshade
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Hillshade
ค่าพิกเซลล์แต่ล่ะจุด จะมีค่าที่ต่างกัน
โดยพิกเซลล์ที่มีสีเข้มมากๆ แสดงว่าพื้นที่นั้น มีค่า Hillshade น้อย
โดยพิกเซลล์ที่มีสีเข้มมากๆ แสดงว่าพื้นที่นั้น มีค่า Hillshade น้อย
ทำการนำเข้าชั้นข้อมูล Amphoe ที่เป็นข้อมูลไฟล์
Polygon ขึ้นมา เพื่อที่จะได้ทำการซ้อนทับข้อมูล
ทำให้สามารถเห็นความแตกต่างของพื้นที่มากขึ้น
ทำให้ของมูล Amphoe มีความโปร่งใส
ทำให้ของมูล Amphoe มีความโปร่งใส
8. พื้นที่การมองเห็น (Viewshed)
เป็นพื้นที่บนพื้นผิวที่สามารถมองเห็นได้จากจุดสังเกตุสำหรับตำแหน่งที่ มองเห็นได้ สามารถหาได้ว่ามีผู้สังเกตุกี่คนที่สามารถมองเห็นตำแหน่งนั้นได้ รวมถึงกำหนดค่าความสูงของผู้สังเกตุ จำกัดความห่าง ความสูง และ ทิศทางที่จะมอง
การหาตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้นั้นสามารถหาได้จากหนึ่งหรือหลาย จุดสังเกตุ หรืออาจเป็นแนวเส้นสังเกตก็ได้
ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์แสดงออกมาเป็นค่า 0 และ 1 คือ
เป็นพื้นที่บนพื้นผิวที่สามารถมองเห็นได้จากจุดสังเกตุสำหรับตำแหน่งที่ มองเห็นได้ สามารถหาได้ว่ามีผู้สังเกตุกี่คนที่สามารถมองเห็นตำแหน่งนั้นได้ รวมถึงกำหนดค่าความสูงของผู้สังเกตุ จำกัดความห่าง ความสูง และ ทิศทางที่จะมอง
การหาตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้นั้นสามารถหาได้จากหนึ่งหรือหลาย จุดสังเกตุ หรืออาจเป็นแนวเส้นสังเกตก็ได้
ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์แสดงออกมาเป็นค่า 0 และ 1 คือ
0
แทนพื้นที่ที่ไม่สามารถมองเห็น
1 แทนพื้นที่ที่สามารถมองเห็นได้
Viewshed สามารถนำไปใช้ในการหาพื้นที่สำหรับการสร้างหอบังคับการ หอควบคุมไฟป่า หรือที่ตั้งของแทงก์น้ำ เป็นต้น
Viewshed สามารถนำไปใช้ในการหาพื้นที่สำหรับการสร้างหอบังคับการ หอควบคุมไฟป่า หรือที่ตั้งของแทงก์น้ำ เป็นต้น
ก่อนอื่นต้องสร้าง Shapefile ขึ้นมาก่อน
ไปที่ Arc Toolbox >> Raster
surface >> Viewshedเลือกข้อมูลที่จะนำมาสร้าง Viewshed
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Viewshed
โดยที่สีเขียวคือบริเวณที่เราสามารถมองเห็นวิวได้
โดยที่สีเขียวคือบริเวณที่เราสามารถมองเห็นวิวได้
9.การประมาณปริมาตรในการขุดและถมที่ (Cut-and-Fill)
เป็นการประมาณการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่หรือปริมาตรจากการขุดหรือถมพื้นผิว
หรือเรียกว่า สิ่งที่สูญเสีย (Net loss) และสิ่งที่ได้มา (Net gain) ในพื้นที่ โดยใช้หลักการเปรียบเทียบข้อมูล 2
พื้นผิว หรือ 2 ช่วงเวลา ได้แก่ พื้นผิว
ก่อนการเปลี่ยนแปลง (Before surface) และหลังการเปลี่ยนแปลง (After
surface)
ไปที่ Arc Toolbox >> Raster
surface >> Cut Fill >> ทำการเลือกข้อมูลที่จะนำมาทำ Cut
Fill
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Cut Fill
วีดีโอการทำงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น